• ล่าสุด
  • รีวิวเทคโนโลยี

iPad Air vs iPad Pro เลือกรุ่นไหนให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ

โพสต์เมื่อ 14 Jan 2025
by Utech 63 Views

iPad-Air-vs-iPad-Pro-cover.jpg

หากคุณกำลังมองหาแท็บเล็ตจาก Apple และลังเลระหว่าง iPad Air กับ iPad Pro ที่มีให้เลือกหลากหลายรุ่นในปัจจุบัน วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างแท็บเล็ตทั้งสองรุ่น ทั้งในแง่ของสเปค ฟีเจอร์การใช้งาน และราคา เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกรุ่นที่เหมาะกับการใช้งานและงบประมาณของคุณได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาแท็บเล็ตสำหรับการทำงาน การเรียน หรือความบันเทิง

ในบทความนี้เราจะมาดูรายละเอียดสเปคที่สำคัญของทั้งสองรุ่น ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ ประสิทธิภาพ แบตเตอรี่ กล้อง และอุปกรณ์เสริมที่รองรับ พร้อมทั้งข้อดีข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน และแนะนำว่ารุ่นไหนเหมาะกับการใช้งานแบบใด เพื่อให้คุณสามารถเลือกรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

iPad Air vs iPad Pro เปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างแท็บเล็ตทั้งสองรุ่น

มาดูกันว่า iPad Air และ iPad Pro มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง โดยเราจะเปรียบเทียบในหัวข้อหลักๆ ที่สำคัญต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ หน้าจอ ประสิทธิภาพ และฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราจะแบ่งการเปรียบเทียบออกเป็นหัวข้อย่อยๆ และวิเคราะห์ความแตกต่างในแต่ละด้านอย่างละเอียด ทั้งนี้เพื่อให้คุณสามารถประเมินได้ว่าไปแพดรุ่นไหนจะตอบโจทย์การใช้งานของคุณมากที่สุด

1. ดีไซน์และการออกแบบ

iPad-Air-vs-iPad-Pro-01.jpg

เมื่อพูดถึงดีไซน์ของรุ่น Air และ iPad Pro ทั้งสองรุ่นมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นและทันสมัย โดยมาพร้อมกับขอบจอบางเฉียบและดีไซน์แบบ All-screen ที่ให้พื้นที่หน้าจอได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด มีน้ำหนักเบาโดยเริ่มต้นที่ 461 กรัมสำหรับรุ่น Air และ 466 กรัมสำหรับรุ่น Pro ด้วยน้ำหนักและความบางที่ลงตัวนี้ ทำให้สามารถพกพาได้อย่างสะดวกสบายและใช้งานได้อย่างคล่องตัวในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการถือใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานานหรือพกพาไปในที่ต่างๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัสดุที่ใช้ในการผลิตทั้งสองรุ่นเป็นอะลูมิเนียมคุณภาพสูง ซึ่งเป็นอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วัสดุนี้มีคุณสมบัติโดดเด่นทั้งในด้านน้ำหนักที่เบาและความทนทานสูง อีกทั้งยังให้สัมผัสที่หรูหราระดับพรีเมียมด้วยผิวสัมผัสที่เรียบเนียนและการเก็บรายละเอียดที่ประณีต และยังทนทานต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งยังผ่านการทดสอบความทนทานตามมาตรฐานอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ ดีไซน์ของทั้งสองรุ่นยังรองรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมอย่าง Magic Keyboard และ Smart Keyboard Folio ได้อย่างลงตัว ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานจากแท็บเล็ตเป็นคอมพิวเตอร์พกพาได้อย่างรวดเร็วและสะดวก รองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ที่สามารถแม่เหล็กติดกับตัวเครื่องเพื่อชาร์จไฟได้โดยอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้งานให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ การจดโน้ต หรือการทำงานที่ต้องการความละเอียดสูง

2. หน้าจอและการแสดงผล

iPad-Air-vs-iPad-Pro-02.jpg

หน้าจอเป็นหนึ่งในความแตกต่างที่โดดเด่นและสำคัญที่สุดระหว่างทั้ง 2 รุ่น โดยตัว Pro มาพร้อมจอแสดงผล Liquid Retina XDR ที่ใช้เทคโนโลยี mini-LED ซึ่งให้ภาพที่คมชัดและสมจริงพร้อมความสว่างสูงสุดถึง 1600 nits ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างสบายตาแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างจ้า นอกจากนี้ยังรองรับเทคโนโลยี ProMotion ที่มาพร้อมอัตรารีเฟรชเรทสูงถึง 120Hz ซึ่งช่วยให้การเลื่อนหน้าจอและการตอบสนองต่อการสัมผัสมีความลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

ในขณะที่รุ่น Air ใช้จอ Liquid Retina แบบ LED มาตรฐาน ซึ่งยังคงให้ภาพที่คมชัดและสีสันสดใส โดยมีความสว่างสูงสุดที่ 500 nits ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปในสภาพแสงปกติ และมาพร้อมอัตรารีเฟรชเรทที่ 60Hz ที่ให้การเลื่อนหน้าจอที่ราบรื่นในระดับมาตรฐาน แม้จะไม่ลื่นไหลเท่ารุ่น Pro แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปและการทำงานพื้นฐาน

นอกจากนี้รุ่น Pro ยังมาพร้อมเทคโนโลยี True Tone ที่ปรับสมดุลสีให้เข้ากับแสงแวดล้อมโดยอัตโนมัติ รองรับ P3 wide color gamut ที่แสดงสีได้กว้างและสมจริงมากกว่า sRGB ทั่วไปถึง 25% ทำให้ภาพมีความอิ่มตัวและสมจริงยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับชมวิดีโอ HDR การตัดต่อภาพถ่ายระดับมืออาชีพ หรืองานกราฟิกที่ต้องการความแม่นยำของสี ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้รุ่น Pro มีประสิทธิภาพด้านการแสดงผลที่เหนือกว่ารุ่น Air อย่างชัดเจน

อีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญคือ iPad Pro มีระบบ HDR (High Dynamic Range) ช่วยให้การแสดงผลมีคอนทราสต์ที่ลึกและรายละเอียดที่คมชัดกว่า โดยเฉพาะในฉากที่มีความแตกต่างของแสงมาก เช่น พื้นที่ที่มีทั้งบริเวณสว่างจ้าและเงามืด ระบบ HDR สามารถรักษารายละเอียดในทุกระดับแสง ทำให้ภาพมีมิติและสมจริงยิ่งขึ้น จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักสร้างคอนเทนต์ ช่างภาพ และผู้ที่ต้องการทำงานด้านวิดีโอและตัดต่อภาพระดับมืออาชีพ

3. ประสิทธิภาพและการประมวลผล

iPad-Air-vs-iPad-Pro-03.jpg

ทั้ง 2 รุ่นต่างมาพร้อมชิปประมวลผลที่ทรงพลัง โดยตัว Pro รุ่นล่าสุดใช้ชิป M4 ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ในขณะที่รุ่น Air ใช้ชิป M2 ซึ่งยังคงให้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมสำหรับการใช้งานทั่วไป ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพระหว่างชิปทั้งสองรุ่นอาจไม่เด่นชัดนักสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่จะเห็นได้ชัดเจนในการใช้งานที่ต้องการพลังการประมวลผลสูง เช่น การตัดต่อวิดีโอ 4K หรือการทำงานกราฟิก 3D

นอกจากนี้รุ่น Pro ยังมาพร้อมกับ RAM ที่มากกว่า ทำให้การทำงานแบบ Multi-tasking ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีอาการหน่วงหรือช้า รองรับการทำงานที่ซับซ้อนและต้องการทรัพยากรสูงได้ดีกว่า เช่น การตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์หรือการทำงานกราฟิกที่มีความละเอียดสูง สำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น การทำงานผ่านแอพพลิเคชันพื้นฐานต่างๆ การรับชมวิดีโอสตรีมมิ่ง การใช้งานโซเชียลมีเดียรุ่น Air ก็สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ลื่นไหล และมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

ทั้งนี้ ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือระบบการจัดการพลังงาน โดยรุ่น Pro มีการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องใช้งานแอพพลิเคชันที่ต้องการทรัพยากรสูง เช่น การเรนเดอร์วิดีโอหรือการทำงานกราฟิก 3D ต่อเนื่องเป็นเวลานาน นอกจากนี้ Pro ยังมีระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ช่วยให้สามารถรักษาระดับประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างสม่ำเสมอแม้ในการใช้งานที่หนักหน่วง ทั้งนี้ การพัฒนาด้านประสิทธิภาพและการจัดการพลังงานของไอแพดทั้งสองรุ่นยังคงได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องผ่านการอัพเดทซอฟต์แวร์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการจัดการพลังงานให้ดียิ่งขึ้น

4. ระบบกล้องและการถ่ายภาพ

iPad-Air-vs-iPad-Pro-04.jpg

ระบบกล้องเป็นอีกหนึ่งจุดที่แตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างทั้ง 2 รุ่น โดยรุ่น Pro มาพร้อมระบบกล้องคู่ด้านหลังที่มีเซ็นเซอร์หลัก 12MP และเลนส์ ultra-wide 10MP พร้อมระบบ LiDAR Scanner สำหรับการใช้งาน AR ในขณะที่ Air มีกล้องหลังเดี่ยวความละเอียด 12MP ที่ให้คุณภาพการถ่ายภาพที่ดีสำหรับการใช้งานทั่วไป

สำหรับกล้องหน้ารุ่น Pro มาพร้อมกับกล้อง TrueDepth คุณภาพสูงที่มีความละเอียด 12MP พร้อมเซ็นเซอร์พิเศษที่รองรับระบบ Face ID สำหรับการปลดล็อกเครื่องและการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัย พร้อมฟีเจอร์ Center Stage ที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการติดตามและจับภาพผู้ใช้ให้อยู่กลางเฟรมตลอดเวลา ช่วยให้การวิดีโอคอลมีความเป็นธรรมชาติและน่าสนใจมากขึ้น

ส่วนกล้องหน้าของรุ่น Air มาพร้อมกับกล้องความละเอียด 12MP และฟีเจอร์ Center Stage เช่นเดียวกับรุ่น Pro แต่ใช้ระบบ Touch ID แทน Face ID สำหรับการยืนยันตัวตน ซึ่งถูกผสานรวมอยู่กับปุ่ม Power ด้านบนของตัวเครื่อง การถ่ายภาพและวิดีโอคอลให้คุณภาพที่ดีเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป

ในด้านคุณภาพการถ่ายภาพ กล้องของ iPad Pro ให้รายละเอียดและความคมชัดที่เหนือกว่า โดยเฉพาะในสภาวะแสงน้อย และยังมีความสามารถในการถ่ายวิดีโอที่ดีกว่า รวมถึงการรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60fps ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานด้านการถ่ายภาพและวิดีโอในระดับมืออาชีพ ในขณะที่ iPad Air สามารถตอบโจทย์การใช้งานทั่วไป เช่น การถ่ายภาพเอกสาร การสแกนเอกสาร หรือการวิดีโอคอลสำหรับการประชุมหรือการเรียนออนไลน์

หากคุณต้องการใช้งานกล้องเพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอในระดับมืออาชีพ โดยเฉพาะงานที่ต้องการคุณภาพสูงหรือการถ่ายภาพในสภาวะแสงที่ท้าทายรุ่น Pro จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าด้วยระบบกล้องคู่และเทคโนโลยี LiDAR Scanner ที่ทันสมัย แต่หากต้องการใช้งานทั่วไป เช่น การประชุมออนไลน์ การถ่ายภาพเอกสาร หรือการบันทึกภาพในชีวิตประจำวันรุ่น Air ก็มีประสิทธิภาพเพียงพอและสามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้คุณภาพการถ่ายภาพที่ดีและคุ้มค่ากับการลงทุน

5. แบตเตอรี่และการชาร์จ

iPad-Air-vs-iPad-Pro-05.jpg

ทั้ง iPad Air และ iPad Pro มาพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธียมโพลิเมอร์ขนาดใหญ่ที่ให้ระยะเวลาการใช้งานประมาณ 10 ชั่วโมงสำหรับการท่องเว็บผ่าน Wi-Fi หรือการรับชมวิดีโอ มีระบบการจัดการพลังงานอัจฉริยะที่ช่วยให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้ในการใช้งานที่หนักหน่วง เช่น การตัดต่อวิดีโอหรือการทำงานกราฟิก โดยระบบจะปรับการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับแต่ละแอปพลิเคชันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ในด้านการชาร์จ ทั้ง iPad Air และ iPad Pro รองรับการชาร์จเร็วผ่านพอร์ต USB-C เมื่อใช้อะแดปเตอร์ขนาด 20W ขึ้นไป ซึ่งตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการชาร์จแบตเตอรี่แบบเร่งด่วน นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังรองรับการชาร์จไร้สายผ่าน Magic Keyboard ทำให้คุณสามารถชาร์จอุปกรณ์ได้สะดวกระหว่างพิมพ์งานหรือใช้งานอื่นๆ โดยไม่ต้องเสียบสายชาร์จโดยตรง ความหลากหลายของระบบการชาร์จนี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกันของผู้ใช้แต่ละคน

สำหรับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ในการใช้งานจริง จะขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานของแต่ละคน โดยการใช้งานที่เน้นการประมวลผลสูง เช่น การเล่นเกม หรือการตัดต่อวิดีโอ จะส่งผลให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าการใช้งานทั่วไป อย่างไรก็ตาม ทั้งรุ่น Air และรุ่น  Pro ต่างก็มีประสิทธิภาพการจัดการพลังงานที่ดีเยี่ยม ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันในการใช้งานปกติ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องพกพาและใช้งานนอกสถานที่เป็นประจำ การจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพนี้ถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ไอแพดทั้งสองรุ่นเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้งานมืออาชีพ

6. การเชื่อมต่อ

iPad-Air-vs-iPad-Pro-06.jpg

ในด้านการเชื่อมต่อ ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมพอร์ต USB-C ที่รองรับการถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูง โดยรุ่น Pro รองรับ Thunderbolt/USB 4 ที่มีความเร็วสูงถึง 40Gbps ในขณะที่รุ่น Air รองรับ USB 3.1 Gen 2 ที่ความเร็ว 10Gbps ทั้งสองรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 และมีตัวเลือกรุ่น Cellular ที่รองรับ 5G สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงนอกบ้าน

ทั้ง 2 รุ่นยังรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ ผ่าน Smart Connector สำหรับการใช้งานร่วมกับ Magic Keyboard และ Apple Pencil รุ่นที่ 2 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ระบบ Bluetooth 5.3 ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไร้สายต่างๆ ได้อย่างเสถียรและประหยัดพลังงาน

ไม่เพียงเท่านี้ ทั้งสองรุ่นยังมีระบบการเชื่อมต่อ AirPlay ที่สามารถส่งภาพและเสียงไปยังอุปกรณ์ที่รองรับ การส่งไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ผ่าน AirDrop ด้วยการเชื่อมต่อที่หลากหลายและยืดหยุ่นนี้ทำให้ทั้ง 2 รุ่น สามารถทำงานร่วมกับ Ecosystem ของ Apple ได้อย่างราบรื่น ระบบการเชื่อมต่อที่ครอบคลุมนี้ยังรองรับการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ เช่น กล้องดิจิทัล ฮาร์ดดิสก์ภายนอก หรือจอมอนิเตอร์ความละเอียดสูง ทำให้ไอแพดทั้งสองรุ่นสามารถทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการทำงานที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ใช้งานมืออาชีพ

นอกจากนี้ ด้วยความสามารถในการรองรับ USB-C Hub ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หลายชิ้นพร้อมกันได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการทำงานในสตูดิโอหรือการถ่ายทอดสด การรองรับอุปกรณ์เสริมที่หลากหลายนี้ทำให้ทั้งสองรุ่นมีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูงและสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของผู้ใช้แต่ละคนได้

สรุป iPad Pro และ iPad Air รุ่นไหนเหมาะกับใคร?

iPad-Air-vs-iPad-Pro-07.jpg

จากตารางเปรียบเทียบด้านบน เราสามารถสรุปได้ว่า iPad Pro เหมาะสำหรับผู้ใช้งานมืออาชีพที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะนักออกแบบ ครีเอเตอร์ หรือผู้ที่ต้องทำงานกับกราฟิกและวิดีโอ ในขณะที่ iPad Air เป็นตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพดีในราคาที่คุ้มค่ากว่า เหมาะสำหรับงานทั่วไปอย่างการท่องเว็บ ดูหนัง ฟังเพลง และการใช้งานแอพพลิเคชันพื้นฐาน รวมถึงการทำงานเอกสารและการเรียนออนไลน์ที่ไม่ต้องการพลังประมวลผลมากนัก

 

บทความที่น่าสนใจ