คุยไปเรื่อยว่าด้วย “เมาส์” ยุคแห่งการแข่งขันน้ำหนักเบา และตัวเลือกของความเข้ามือ

พักหลังมานี้ จุดขายของเมาส์เกมมิ่งไร้สายนอกจากสมรรถนะในการใช้งานอย่างเซนเซอร์, ค่า polling rate, การตั้งค่า DPI ฯลฯ ตลอดจนความอึดของแบตแล้ว สิ่งหนึ่งที่ดูจะเป็นจุดขายที่นำมาห้ำหั่นกันก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของน้ำหนักที่เน้นความเบามากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากพี่ใหญ่ในวงการ Logitech ที่เปิดตัวเมาส์เกมมิ่งไร้สายรุ่น G Pro ออกมาก่อนในช่วงปี 2018 ซึ่งถือว่าเป็นเมาส์ไร้สายรุ่นบุกเบิกเรื่องความเบาก็ว่าได้ โดยมีน้ำหนักอยู่ที่ 80-85 กรัมเท่านั้น แต่แม้น้ำหนักจะเบาลงแต่ความสามารถนั้นไม่ได้ถูกลดทอนลงแต่อย่างใด กลับกัน G pro ของโลจิเทคได้ถูกนำไปคว้าชัยจากเวที Overwatch League Championship กับทีมอีสปอร์ต London Spitfire ก่อนหน้าที่โลจิเทคจะประกาศวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเสียอีก

แต่ดูเหมือนว่าความเบาเท่านั้นจะยังไม่สาแก่ใจโลจิเทค ในปี 2020 เมาส์ Logitech G Pro X Superlight ก็ได้ออกมาโลดแล่นในวงการด้วยน้ำหนักเพียง <63 กรัม โดยถอดแบบโมเดลมาจากรุ่น G pro แต่มีการตัดทอนไฟ RGB ออก และยังเพิ่มความอึดให้กับแบตเตอรี่เป็น 70 ช.ม.จากเดิม 50 ช.ม. อีกด้วย ขึ้นแท่นเป็นเมาส์เกมมิ่งชั้นครูที่ทั่วโลกต่างให้การยอมรับและเป็น benchmark ให้กับเมาส์อีกหลายๆ แบรนด์

แรงกระเพื่อมดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ได้เห็นการแข่งขันในเรื่องน้ำหนักเมาส์ที่เบาลงเรื่อยๆ แน่นอนว่าความเบาไม่ใช่แค่กิมมิคลอยๆ ที่มีไว้เพื่อการโฆษณาหรือขิงกันระหว่างแบรนด์เท่านั้น แต่เมาส์ที่น้ำหนักเบาจะช่วยลดภาระในการออกแรงของข้อมือ เนื่องจากเมาส์ที่เบากว่าย่อมใช้แรงในการกวาดหรือลากน้อยกว่าอยู่แล้ว นอกจากนี้เมาส์ที่เบากว่าย่อมเคลื่อนที่ได้ไวกว่าเมาส์ที่หนักกว่า (เมื่อออกแรงที่เท่ากัน) ฉะนั้นในเกมที่ต้องอาศัยการเคลื่อนที่อย่างฉับไว ความเร็วความช้าของเมาส์ก็เป็นตัวชี้วัดแพ้หรือชนะได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในตลาดเมาส์ที่แข่งกันเบาไม่หยุดหย่อนกับสเปคที่เทพขึ้นทุกวันๆ หลายคนอาจจะมีคำถามว่าแล้วจะเลือกอะไรดี? สิ่งหนึ่งที่อยากเสนอไว้พิจารณาคือเรื่องของ “ความเข้ามือ” เพราะขนาดมือของแต่ละคนไม่เท่ากัน ความยาวของนิ้ว ความกว้างของฝ่ามือ รวมถึงความถนัดในการจับเมาส์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เปรียบเสมือนเวลาเราจะเลือกรองเท้าสักคู่ ไม่ใช่แค่แบรนด์หรือคุณสมบัติที่โฆษณาเท่านั้นที่เราควรพิจารณา แต่ต้องลอง “วัดไซส์” ด้วยว่ารองเท้ามัน “พอดี” กับเราหรือเปล่า?

เมาส์ตัวหนึ่งที่เห็นว่าน่าสนใจนำมาพูดถึง ก็คือเมาส์จากแบรนด์ Pulsar รุ่น X2 ซึ่งดูเผินๆ ก็มีคล้ายคลึงกับ Logitech G Pro X Superlight มากทีเดียว แต่หลังจากลองใช้สัมผัสกับมันสักระยะหนึ่งก็พบว่า มีความแตกต่างอย่างมากในความเหมือนนั้น

Pulsar X2 เป็นเมาส์ทรงสมมาตรในน้ำหนักเพียง 56 กรัม ต่างจากรุ่นโด่งดังอย่างตัว Pulsar Xlite V2 ที่เป็นเมาส์ทรงมือขวา น้ำหนัก 59 กรัม จุดต่างสำคัญคือในรุ่น X2 นี้ โครงเมาส์ไม่ได้เจาะรูที่หลังเต่าแต่ใช้พลาสติกทึบทั้งแผ่น มีแค่ช่วงใต้ท้องเมาส์นั้นที่เจาะเป็นช่องโปร่งเพื่อลดน้ำหนักส่วนในด้านของขนาดเมาส์ เมื่อเปรียบเทียบกับดีไซน์ของ Superlight จะพบว่ารุ่น X2 จะมีความยาวน้อยกว่า หน้ากว้างแคบกว่าเล็กน้อยเพียงครึ่งมิลลิเมตร ส่วนความสูงที่จุดสูงสุดจะต่างกัน 5 ม.ม. ซึ่งโดยรวมทำให้ Superlight มีขนาดใหญ่กว่า แม้จะเพียงเล็กน้อยในระดับมิลลิเมตร แต่ความแตกต่างตรงนี้เองทำให้จุดลาดเอียงและมิติของเมาส์แตกต่างกันมากพอสมควร และทำให้ X2 จะเหมาะกับคนที่จับเมาส์แบบ fingertip grip และ Claw grip ซึ่งข้อนิ้วและโคนนิ้วจะยกลอยขึ้น ไม่สัมผัสกับตัวเมาส์ ต่างจากการจับแบบ palm ที่อุ้งมือจะวางพักไว้บนหลังเมาส์เกือบตลอดเวลาและข้อนิ้ววางแนบไปกับสันเมาส์ ซึ่งคนที่จับเมาส์ลักษณะนี้อาจจะชอบ Superlight มากกว่า

ส่วนในเรื่องของสเปก แม้ Pulsar จะเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งกระโดดเข้ามาในตลาดได้ไม่นาน แต่ก็เรียกได้ว่าอะไรที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุดก็ถูกนำมาประโคมลงใน X2 รุ่นนี้แบบไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์ตัวเรือธง PixArt PAW3395 ที่ให้ความแม่นยำสูง ให้ความละเอียดสูงสุดที่ 26,000 DPI, ความเร็วสูงสุด 650 IPS, Polling rate ที่ 1000Hz / 1ms, สวิตช์ใช้ Kailh GM 8.0 ที่รองรับการกดถึง 80 ล้านครั้ง และล้อเลื่อน TTC gold encoder ที่ให้สัมผัสการหมุนที่ลื่นไหลและนุ่มนวล ทั้งหมดนี้เป็นการต่อสู้อันดุเดือดที่ทำให้ผู้บริโภคอย่างเราได้ประโยชน์เต็มๆ ในแง่การมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น

ไม่แน่ว่า ในยุคที่เมาส์ฟาดฟันกันด้วยน้ำหนักที่เบาที่สุดและสเปกโหดที่สุด คำถามที่สำคัญที่สุดในการเลือกเมาส์ที่ “ดีที่สุด” อาจจะไม่ใช่คำถามที่ว่าแบรนด์ไหน 'ให้' ได้มากกว่ากัน แต่อาจเป็นคำถามที่ว่า...แล้วมือของเรา ‘เข้า’ กับเมาส์แบรนด์ไหน?